คุณธรรม
1.สัปปุริสธรรม ๗
1.1 เป็นผู้รู้จักเหตุ หมายความว่า ถ้าเขาจะทำเหตุนั้น ๆ ขึ้น ผลมันจะเกิดขึ้นอย่างไร อันนี้ต้องรู้ ส่วนใหญ่คนเราทุกวันนี้ ทำแล้วถึงได้คิด พังลงไป แล้วซิ ถึงได้คิดว่า อ๋อ อย่างนี้ เหตุมันไม่ถูกนะ นี่ เพราะเหตุไร เพราะเขาไม่มีสัปปุริสธรรม
1.2 สอนให้เขารู้จักผล ผลอย่างไร ผลดีหรือผลชั่วเช่นนั้นมาจากเหตุอะไร สอนให้เขารู้ เพราะหลักในศาสนาพุทธนั้น ท่านสอนให้ทำเหตุ ถ้าทำเหตุดีแล้ว ท่านถือว่า ผลก็จะออกมาดีเอง เราทำจิตให้สงบ ความสงบก็เกิดขึ้นบุญกุศลก็เกิดขึ้น นี่ เพราะเราเป็นผู้ทำเหตุ ผลที่ได้รับก็คือความสงบ
1.3รู้จักตนว่า ตนอยู่ในฐานะอะไร อฐานะอะไร ทำเช่นนั้นถูกหรือไม่ถูกประการใด ปัญหาในเรื่องการรู้จักตนเดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันนี้ ผมรับรองได้ว่า คนน้อยนักที่จะรู้ฐานะและอฐานะของตน ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อย่างนี้ถึงได้เกิดความไม่สงบกันขึ้นภายในบ้านเมือง ไม่ว่าวงเล็กวงใหญ่วงกว้างขวางแค่ไหน ปัญหาในเรื่องการไม่รู้จักตนของตนนั่นเอง เป็นเหตุ
1.4 รู้จักประมาณ ที่รู้จักประมาณนี่ ต้องรู้จักว่าฐานะของตนเป็นประการใด เราจะทำอะไรแค่ไหน ให้รู้จักประมาณ ไม่ใช่คนบางคนมีเงินเดือน ยังไม่ทัน หัวเดือนท้ายเดือนบรรจบกันเลย พอถึงวันต้นเดือนเงินเดือนออก ไปอยู่ตามคลับบ้าง ตามเหลาบ้าง อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณ
1.2 สอนให้เขารู้จักผล ผลอย่างไร ผลดีหรือผลชั่วเช่นนั้นมาจากเหตุอะไร สอนให้เขารู้ เพราะหลักในศาสนาพุทธนั้น ท่านสอนให้ทำเหตุ ถ้าทำเหตุดีแล้ว ท่านถือว่า ผลก็จะออกมาดีเอง เราทำจิตให้สงบ ความสงบก็เกิดขึ้นบุญกุศลก็เกิดขึ้น นี่ เพราะเราเป็นผู้ทำเหตุ ผลที่ได้รับก็คือความสงบ
1.3รู้จักตนว่า ตนอยู่ในฐานะอะไร อฐานะอะไร ทำเช่นนั้นถูกหรือไม่ถูกประการใด ปัญหาในเรื่องการรู้จักตนเดี๋ยวนี้ ในปัจจุบันนี้ ผมรับรองได้ว่า คนน้อยนักที่จะรู้ฐานะและอฐานะของตน ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร อย่างนี้ถึงได้เกิดความไม่สงบกันขึ้นภายในบ้านเมือง ไม่ว่าวงเล็กวงใหญ่วงกว้างขวางแค่ไหน ปัญหาในเรื่องการไม่รู้จักตนของตนนั่นเอง เป็นเหตุ
1.4 รู้จักประมาณ ที่รู้จักประมาณนี่ ต้องรู้จักว่าฐานะของตนเป็นประการใด เราจะทำอะไรแค่ไหน ให้รู้จักประมาณ ไม่ใช่คนบางคนมีเงินเดือน ยังไม่ทัน หัวเดือนท้ายเดือนบรรจบกันเลย พอถึงวันต้นเดือนเงินเดือนออก ไปอยู่ตามคลับบ้าง ตามเหลาบ้าง อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักประมาณ
1.5 รู้จักกาละ คือรู้จักเวลาว่า เวลาไหน กาลไหน ควรจะทำอย่างไร อย่างข้าราชการประจำ ๒ โมงครึ่ง ต้องถึงออฟฟิศ ๔ โมงครึ่งเลิกจากงาน นี่ เป็นผู้รู้จักกาล แต่ถ้าไปทำงานเอาเที่ยงหรือบ่ายโมง อย่างนี้ก็เรียกว่าไม่รู้จักกาละ
1.6 รู้จักเลือกบุคคล การรู้จักเลือกบุคคลนี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เราจะเห็นได้ว่าการบริหารประเทศที่แล้วๆ มาเพราะเหตุไม่รู้จักการเลือกบุคคล ถึงได้พังกันมานับไม่ถ้วน
1.7 สอนให้เขาได้รู้จักสังคม หรือหมู่คณะ หมู่ที่อยู่ในศีลในธรรม เขาก็เข้าได้ หมู่ที่เป็นไปในทางโลก เขาก็เข้าได้ ทำตัวให้เข้ากับสังคมได้นั่นเอง
1.6 รู้จักเลือกบุคคล การรู้จักเลือกบุคคลนี่เป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง เราจะเห็นได้ว่าการบริหารประเทศที่แล้วๆ มาเพราะเหตุไม่รู้จักการเลือกบุคคล ถึงได้พังกันมานับไม่ถ้วน
1.7 สอนให้เขาได้รู้จักสังคม หรือหมู่คณะ หมู่ที่อยู่ในศีลในธรรม เขาก็เข้าได้ หมู่ที่เป็นไปในทางโลก เขาก็เข้าได้ ทำตัวให้เข้ากับสังคมได้นั่นเอง
2.พรหมวิหาร 4
2.1 เมตตา คือความรักใคร่
2.2 กรุณา คือ ความสงสาร เห็นความทุกข์ผู้อื่นเหมือนความทุกข์ตัวเอง
2.3 มุทิตา คือ ยินดีกับผู้อื่นเมื่อเห็นเขาประสบความสำเร็จ
2.4 อุเบกขา คือ เสมอต้นเสมอปลาย
3.หิริ โอตตัปปะ
3.1 หิริ คือความละอายในบาป
3.2 โอตตัปปะ คือ ความเกรงกลัวในผลของบาป
ถ้เรามีหิริโอตตัปปะ เราก็จะไม่ทำบาปทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ดังนั้น หิริโอตตัปปะจึงเรียกได้อีกอย่างว่า "เทวธรรม"
4.หน้าที่ของบุตร ธิดา
4.1 เลี้ยงท่านตอบ
4.2 ทำกิจการงานของท่าน
4.3 ดำรงวงศ์ตระกูล
4.4 ประพฤติตนให้ควรแก่การรับมรดก
4.5 ทำบุญอุทิศให้ท่าน เมื่อตายแล้ว
4.6 ประกอบด้วยคุณธรรม คือ หิริ โอตตัปปะ
4.7 ขันติ และ โสรัจจะ
4.8 สัปปุริสธรรม ๗
4.9 ประพฤติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
4.2 ทำกิจการงานของท่าน
4.3 ดำรงวงศ์ตระกูล
4.4 ประพฤติตนให้ควรแก่การรับมรดก
4.5 ทำบุญอุทิศให้ท่าน เมื่อตายแล้ว
4.6 ประกอบด้วยคุณธรรม คือ หิริ โอตตัปปะ
4.7 ขันติ และ โสรัจจะ
4.8 สัปปุริสธรรม ๗
4.9 ประพฤติธรรมให้สมควรแก่ธรรม
